วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิตามินบี

บทความนี้จะกล่าวถึงวิตามินอีกตัวหนึ่งที่มีคุณสมบัติละลายในน้ำได้ นั่นก็คือวิตามินบี วิตามินบี ทำหน้าที่เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตในร่างกายเป็นน้ำตาลกลูโคสซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไปใช้ได้ และช่วยในกระบวนการเมตาโบลิซึมของไขมันและโปรตีน รวมถึงการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร หากร่างกายได้รับวิตามินบีเกินความจำเป็น วิตามินบีส่วนเกินจะถูกขับออกจากร่างกายโดยจะถูกขับออกทางปัสสาวะ

วิตามินบีมีหลายชนิด เราลองมาดูกันว่าแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างไรกับร่างกายเราบ้าง

วิตามินบี 1 ช่วยเสริมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไปใช้เป็นพลังงาน มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหาร หากขาดวิตามินบี1 จะมีอาการ เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย ชาตามมือและเท้าแขนขาไม่มีแรง วิตามินบี 1 พบมาใน ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ งา ตับ

วิตามินบี 2 เกี่ยวข้องในการหายใจของเซลล์ กระบวนการมองเห็น หน้าที่ของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ เพิ่มระดับพลังงาน บำรุงผิว ผมและเล็บ หากขาดวิตามินบี2 จะมีอาการ ผิวหนังอักเสบแผลที่มุมปาก หรือปากนกกระจอก วิตามินบี 2 พบมากในนม ไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ผักใบเขียว คอร์นเฟล็ก โยเกิร์ต นม

วิตามินบี 3 บรรเทาคอเลสเตอรอลสูง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ บรรเทาสิวชนิดผื่นแดงอักเสบ ลดความอยากดื่มสุรา พบมากใน เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ จมูกข้าว ขนมปังโฮลมีล

วิตามินบี 5 เร่งแผลหายเร็ว บรรเทาอาการข้ออักเสบ ลดอาการนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า พบมากใน ถั่วลิสงไม่ปรุงรส งา อะโวกาโด แอปเปิ้ล แอพริคอตแห้ง

วิตามินบี 6 การทำงานของระบบประสาท การสร้างเม็ดเลือด ช่วยรักษาสภาพผิวหนังให้เป็นปกติ หากขาดวิตามินบี6 จะมีอาการอ่อนเพลีย โลหิตจาง ชาปลายมือปลายเท้า วิตามินบี 6 พบมากใน เนื้อสัตว์ ผักต่างๆ ปลา และยีสต์

วิตามินบี 7 (ไบโอติน) สำคัญต่อการเจริญของเซลล์ การผลิตกรดไขมัน และการเผาผลาญไขมันและกรดอะมิโน

วิตามินบี 9 (กรดโฟลิก, กรดไดไฮโดรโฟลิก, กรดโฟลินิก) สำคัญในด้านการรักษาโรคต่าง ๆ ตั้งแต่โรคเหน็บชาไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสมอง

วิตามินบี 11 (โคลีน) มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเลซิทินโคลีนเป็นสารที่ใช้ในการสร้างอะเซททิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญของระบบประสาท เชื่อว่าการมีอะเซททิลโคลีนที่เพียงพอในสมองจะช่วยป้องกันภาวะความจำเสื่อมได้ ถ้าขาดโคลีน จะทำให้ตับไม่สามารถเคลื่อนย้ายไขมันออกได้ ผลคือเกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเซลล์ตับเสื่อม ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ ,ลดโคเลสเตอรอล และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน

วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือด การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และการดูดซึมของทางเดินอาหาร อาการที่ปรากฏเมื่อขาด โลหิตจาง อ่อนเพลีย ความบกพร่องของระบบประสาทส่วนกลาง วิตามินบี 12 พบมากใน เนื้อสัตว์นม เนย

วิตามินบี 15 (Pangamic Acid)มีในยีสต์ พวกเมล็ดพืชต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อเส้นผม กล้ามเนื้อ ตับ สมอง และหัวใจ ช่วยย่อยไขมัน ทำให้ร่างกายใช้วิตามินอี รักษาโรคทางจิต แพทย์ใช้วิตามินนี้รวมกันรักษาเบาหวานและเส้นโลหิตอุดตัน

อ้างอิง

http://www.megawecare.co.th/
http://th.wikipedia.org/
http://www.mmc.co.th/mmcj/index.php/2009-05-28-06-30-32/108--choline.html

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

เลือกทานวิตามินให้สมวัย



เพราะช่วงวัยที่แตกต่าง ร่างกายของผู้หญิงจึงต้องการสารอาหารที่แต กต่าง สารอาหารส่วนใหญ่ที่ร่างกายได้รับในแต่ละว ันมาจากอาหารที่เลือกรับประทาน ซึ่งจะเพียงพอหรืออาจเป็นสิ่งยากที่จะวัด เพราะขึ้นอยู่กับทางเลือกและความชอบส่วนตั ว สาวๆ ส่วนใหญ่จึงเลือกทานวิตามินเสริม โดยยึดหลัก "เกินดีกว่าขาด" ทั้งๆ ที่จริงวิตามินบางตัวก็ไม่จำเป็น

วันนี้เราจึงมีข้อพิจารณาก่อนเลือกวิตามิน ที่เหมาะสมให้กับร่างกายมาบอกค่ะ โดยกูรูเริ่มต้นอธิบายว่า การรับทราบถึงความจำเป็นบวกกับกิจกรรมและไ ลฟ์สไตล์ในแต่ละช่วงวัยถือเป็นข้อพิจารณาท ี่ดีต่อการเลือกทานวิตามินเพื่อให้ได้ประโ ยชน์สูงสุดค่ะ

สาวใสวัย 20
เภสัชกรหญิง ภัชราภรณ์ ปิ่นสอาด จากร้านเพื่อสุขภาพและความงามวัตสัน กล่าวแนะนำทางเลือกด้านวิตามินเสริมสำหรับ สาววัย 20 ที่ยังอยู่ในวัยเรียนและวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อรับมือก ับงานและกิจกรรมต่างๆ ดังนี้

วิตามินซี 0 มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เพราะไม่ใช่แค่เพียงป้องกันการเกิดหวัด แต่ยังช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่อาจก่อให้เกิ ดโรคหลายชนิด นอกจากนั้น วิตามินซียังมีส่วนสำคัญในการช่วยดูดซึมธา ตุเหล็ก และการทำงานของระบบประสาท และยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน

เกรพซีด (Grape Seed) 0 เต็มไปด้วยวิตามินสำคัญๆ ทั้งวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น และมีบทบาทต่อการสร้างเซลล์ใหม่ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และบำรุงผิวพรรณ และวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของวิตามินเอและซี และปกป้องผิวจากรอยแผลและผิวอักเสบต่างๆ นอกจากนั้น สารสกัดจากเมล็ดองุ่นยังเป็นแหล่งของสารต้ านอนุมูลอิสระ

แคลเซียม 0 เมื่ออายุ 25 แคลเซียมในร่างกายจะเริ่มเสื่อมลง การเสริมแคลเซียมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมอ งข้าม แคลเซียมยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ลิ่มเล ือดจับตัวได้ดีขึ้น พร้อมกับช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อและการเ ต้นหัวใจ และถ้าจะให้ดีควรทานแคลเซียมควบคู่กับวิตา มินเค ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีข ึ้น

สาววัยเลขสาม
วัย 33 ทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตข้างหน้า การโหมงานหนักทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอ่อ นล้าของสมองและร่างกาย เภสัชกรหญิงจึงแนะให้มองหาวิตามินมาช่วยเส ริมความฟิตของระบบประสาท

วิตามินบีรวม 0 เสริมความพร้อมของระบบประสาทและสมองสำหรับ คนทำงานหนักด้วยวิตามินบีรวม ทั้ง บี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 และ บี12 เพื่อช่วยเสริมการทำงานของระบบสมองและประส าทส่วนกลาง การทำงานของหัวใจ สร้างเม็ดเลือดแดงและระบบภูมิคุ้มกัน

สารสกัดใบแปะก๊วย 0 เพิ่มประสิทธิภาพของสมองได้ด้วยสารสกัดจาก ใบแปะก๊วย ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดใน สมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองจากการถูกทำล ายด้วยอนุมูลอิสระ อีกทั้งปกป้องเซลล์ประสาทจากการขาดออกซิเจ น และยังมีส่วนทำให้ผนังหลอดเลือดแดงยืดหยุ่ นและแข็งแรง

สี่สิบยังสวยพริ้ง
เภสัชกรแห่งวัตสันแนะนำตัวช่วยเพื่อชะลอผิ วจากการถูกทำลาย
อีฟเวนนิง พริมโรส ออย (Evening Primrose Oil) 0 เป็นกรดไขมันจำเป็นซึ่งเป็น
องค์ประกอบหลักของเซลล์ผิวหนัง ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิว ปรับสภาพ
ผิวที่แห้งกร้านให้ชุ่มชื่น ลดริ้วรอย นอกจากนั้น ยังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
และอาการผิดปกติของช่วงหมดประจำเดือนได้ดี อีกด้วย

สง่าแบบสาวเลขห้า
เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ เภสัชกรหญิงจึงเตือนให้หันมาใส่ใจด้านสุขภ าพกันอย่างเต็มที่ ด้วยการรับประทาน

ฟิช ออยฟิช ออย (Fish Oil) 0 เป็นสารประกอบของกรดไขมันกลุ่มของโอเมก้า 3 ที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ EPA ที่ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และ DHA ซึ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ฟิชออยสามารถช่วยลดความดันโลหิต และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และยังบรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์และข้อเส ื่อมอีกด้วย

ได้เห็นตัวอย่างของสาวต่างวัยต่างความต้อง การแบบนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะมองหาวิตามินเสริมที่เหม าะกับความต้องการของร่างกายในแต่ละช่วงอาย ุ และที่สำคัญ เภสัชกรหญิงจากร้านวัตสันฝากว่า สาวๆ ไม่ว่าวัยใดก็ตามก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยจึงจะดีที่สุด

ที่มา www.thaipost.net

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน


สาระน่ารู้เกี่ยวกับทานยาสำหรับผู้ที่มักจะทานยาหลายๆตัวพร้อมๆกัน เพราะยาบางอย่างอาจมีส่วนสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเลือกทานไม่เหมาะสมแล้วล่ะก็อาจเป็นโทษอย่างร้ายแรงเลยนะ หยิบมาเฉพาะเนื้อหาสำคัญๆ ซึ่งจะแบ่งเป็นยากลุ่มที่กินแล้วส่งเสริมกันให้เกิดผลดีแก่ร่างกาย และกลุ่มยาที่กินแล้วเกิดผลเสียกับร่างกาย ยกมาอย่างละ 5 ข้อ เฉพาะตัวสำคัญเลยนะ

กินร่วมกันแล้วเกิดผลดี

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊ งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให ้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ

3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเข ียวจัดตามลำดับ

4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอ กับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือ กชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออ ักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ



กินร่วมกันแล้วเกิดผลร้าย

แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ค วรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่ วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เก ิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได ้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิว สวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริม โรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้ วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้ แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำใ ห้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกา แฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมนอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอี กด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไป กินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

อ้างอิง: จากเว็บสมาคมร้านขายยา